ในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมหาศาล พร้อมด้วยความชาญฉลาดของเทคโนโลยีที่ทุกคนจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การพัฒนาเดินหน้าเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยดิจิทัล” (Digital University) อย่างเต็มรูปแบบจึงเป็นอีกเป้าหมายสำคัญที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาและพัฒนาการดำเนินงานของมหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการ CMU Smart City ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบที่มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการเมือง โดยการศึกษาวิจัยสร้างองค์ความรู้ไปควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยี เพื่อสร้างนวัตกรรมที่มีคุณค่า และนำมาต่อยอดให้ใช้งานได้จริง ช่วยพัฒนาคน ส่งเสริมและสร้างทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต สร้างประโยชน์แก่สังคม และประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านสภาพแวดล้อม เนื่องจากผู้ที่ดำเนินชีวิตในมหาวิทยาลัยไม่ได้มีแค่นักเรียน นักศึกษา คณาจารย์ หรือบุคลากรเท่านั้น แต่ยังมีลักษณะถึงความเป็นเมืองที่จำเป็นจะต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างครอบคลุม ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน Sustainable Campus Management Center ภายใต้การดำเนินการโครงการ CMU Smart Surveillance โดยนำแนวคิดการใช้ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการเมืองมาใช้ ซึ่งในการออกแบบและพัฒนาบริการต่าง ๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยทางท้องถนนให้แก่ผู้สัญจรภายในพื้นที่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน ติดตาม เหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุ โจรกรรม หรือ อาชญากรรม การจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปริมาณการจราจร ในรูปแบบดิจิทัล สามารถนำไปใช้ในการประเมินผลลัพธ์ เพื่อวางแผนกลยุทธ์และนโยบายได้อย่างรวดเร็ว เช่น ระบบประตูอัจฉริยะ (Smart Gate) ระบบอ่านป้ายทะเบียน เข้ามาใช้ในการตรวจจับและอ่านป้ายทะเบียนยานพาหนะที่เข้ามาในพื้นที่ แบบ Real Time เป็นการตรวจสอบและติดตามว่ายานพาหนะแต่ละคันมีการเข้าออกที่ประตูใด ณ เวลาใด ประสานเข้ากับ ระบบติดตามเส้นทางการเดินรถ (Car Tracking) โดยระบบสามารถส่งข้อมูลไปยังฐานข้อมูลของศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะฯ เมื่อประมวลผลร่วมกันทำให้สามารถตรวจสอบยานพาหนะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุด่วนเหตุร้ายได้ ทำให้สามารถติดตาม และจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้ในที่สุด
มากไปกว่านั้น การพัฒนารูปแบบและโครงสร้างของเมืองที่สอดรับกับแนวคิดของเมืองอัจฉริยนั้นยังช่วยส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการบริหารจัดการพลังงานทดแทนที่ใช้ภายในรั้วมหาวิทยาลัยให้หมุนเวียนกลับมาใช้ได้อย่างครบวงจร โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ERDI-CMU) ที่ดำเนินการนำเอาองค์ความรู้มาร่วมพัฒนาเป็นนวัตกรรมต่าง ๆ อาทิ โซล่ารูฟ ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 12 เมกะวัตต์ สามารถเชื่อมต่อการทำงานและรับส่งข้อมูลกับศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Campus Management Center) ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศกลางของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ในปัจจุบันได้ ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร มุ่งเน้นให้มีการจัดการขยะที่ยั่งยืน เพื่อผลิตเป็นพลังงานทดแทน เป็นต้นแบบการจัดการขยะให้กับชุมชน กระบวนการจัดการขยะของมหาวิทยาลัยยังเป็นต้นแบบการจัดการขยะให้กับชุมชน โดยใช้เทคโนโลยีการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทนอย่างการผลิตก๊าซชีวภาพได้วันละกว่า 600 ลูกบาศก์เมตร โดยนำไปปรับปรุงคุณภาพและนำไปผลิตเป็นไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในศูนย์ ได้กว่า 26,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ผลิตเป็นก๊าซไบโอมีเทนอัดสำหรับยานยนต์ เพื่อใช้ในระบบขนส่ง ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เฉลี่ยปีละ 18,000 บาท กิโลกรัมต่อปี สามารถลดปริมาณการกำจัดขยะจากการกำจัดทิ้งแบบฝังกลบ และแบบเผาได้ 4,500 ตันต่อปี ลดปริมาณอาหารจากการฝังกลบได้ 500 ตันต่อปี ลดปริมาณกากไขมันจากการฝังกลบได้ 125 ตันต่อปี และ สามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10,900 ตันคาร์บอนต่อปี
นอกจากนี้ การพัฒนาเดินหน้าเพื่อเป็น “มหาวิทยาลัยดิจิทัล” ไม่เพียงแต่การพัฒนาในด้านสภาพแวดล้อมในรั้วมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพียงเท่านั้น การพัฒนา “ระบบบริการสุขภาพ” ก็สำคัญไม่แพ้กัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เปิดศูนย์บริการการแพทย์ทางไกลหรือ Multidisciplinary Telemedicine Center ที่เชื่อมเครือข่ายกับ 20 รพ.ในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ ด้วยการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในวงการแพทย์ นอกจากการปรึกษาหารือด้านการแพทย์แล้ว ศูนย์ฯ นี้ ยังให้คำปรึกษาทั้งด้านด้านเภสัชวิทยา แล็บ และเอกซเรย์ ผ่านระบบดิจิทัลที่ทางคณะแพทยศาสตร์ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล Personal Health Record :PHR และระบบติดตามสุขภาพ เช่น ดูระดับไขมันในเลือด ,โครงการพัฒนาระบบการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างโรงพยาบาล (Health Information Exchange ) จะเพิ่มความสะดวก ในกรณีที่คนไข้ของรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เกิดเจ็บป่วยและต้องเข้าโรงพยาบาลในพื้นที่อื่น ระบบการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างรพ. จะทำให้คนไข้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมถึงโครงการพัฒนาระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Medical Record :EMR) เป็นต้น
ด้วยเทคโนโลยี 5G นี้ ได้ ประยุกต์ใช้ โดยการส่งเสริมการบริการทางการแพทย์ผ่านเครือข่าย 5G ช่วยในการให้การปรึกษาและรักษาผู้ป่วยบนรถ Smart Ambulance แบบ Real Time สามารถส่งภาพและเสียงจากในรถและในที่เกิดเหตุผ่านระบบเครือข่ายสัญญาณ 5G เข้าสู่ศูนย์ประสานงานในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และสามารถเชื่อมต่อสัญญาณกับโทรศัพท์มือถือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ทันที ทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล สามารถมองเห็นเหตุการณ์และสังเกตอาการของผู้ป่วยได้ตลอดเวลาการปฏิบัติการ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องพัฒนา ระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในพื้นที่ห่างไกลให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการดูแลคนไข้จากทางระยะไกลได้แล้ว ยังสามารถเป็นการสร้างเครือข่ายการรักษาจากการปรึกษาทางไกลระหว่างแพทย์ด้วยกันได้ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้มากขึ้นอีกด้วย